เปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ไปกับการผสมผสานพลังงานทดแทน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการจัดการพลังงาน เป็นที่พูดถึงมาอย่างยาวนาน ซึ่งหลักๆ แล้วจะเน้นหลักการด้านการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนที่มีความแตกต่างกันออกไป เพื่อให้ได้พลังงานอย่างต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ เช่น การผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงกลางวัน และสลับมาใช้พลังงานชีวมวลในเวลากลางคืน หรือช่วงที่มีความต้องการพลังงานสูง เพื่อให้ระบบพลังงานมีความต่อเนื่องและเสถียรภาพ โดยหลักๆ แล้วจะมีข้อดีที่สามารถสัมผัสได้ดังต่อไปนี้
- ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล: การพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมลพิษทางอากาศ การใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล จะสามารถช่วยลดความต้องการใช้ฟอสซิลในกระบวนการผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการพลังงาน: ระบบพลังงานผสมจากแหล่งพลังงานหลายประเภท มีส่วนสำคัญต่อการปรับสมดุลของการใช้พลังงานในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ส่งผลให้สามารถปรับเปลี่ยนแหล่งพลังงานให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น หรือลดลง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพลังงานในสถานการณ์ที่พลังงานจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เช่น ในวันที่มีเมฆมากทำให้ประสิทธิภาพพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การผลิตพลังงานจากฟอสซิลมักก่อให้เกิดของเสีย เช่น เถ้าถ่าน น้ำเสีย และก๊าซพิษ ในขณะที่พลังงานทดแทน เช่น ชีวมวล มีลักษณะเป็นการนำวัสดุธรรมชาติ หรือของเสียกลับมาใช้ใหม่ วิธีดังกล่าวมีส่วนสำคัญต่อการช่วยลดปริมาณขยะในชุมชน และโรงงานอุตสาหกรรม อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) การผสมผสานพลังงานทดแทนจึงไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งหมดนี้คือ การผสมผสานพลังงานทดแทน ภายใต้นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งของพลังงานชีวมวล (Biomass Energy) แหล่งพลังงานทางเลือกที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ และผ่านการใช้งานจนเหลือเศษ โดยที่ปัจจุบันเรื่องพลังงานต่างๆ เป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างมาก จะช่วยให้ปรับตัว และวางแผนต่ออนาคตได้ดีแน่นอน